เมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเอง
คำถาม คำว่า " ไทยมุงกับสังคมไทย" สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยนั้นชอบสนใจเรื่องของคนอื่นรึเปล่า?
ความจริงมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สังคม อยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะ มีน้อยคนที่จะอยู่คนเดียวได้ โดยทั่วไปจะต้องอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง การที่จะอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของคนอื่นมีขึ้นเป็นธรรมดา เเต่ว่าดีกรีจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับเเต่ละพื้นที่ เเต่ละชนเผ่า เเต่ละภูมิภาค ก็มีความเเตกต่างกัน คำศัพท์ที่ว่า "ไทยมุง" คงสะท้อนว่าคนไทย เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็มีความอยากรู้อยากเห็น เเล้วก็เอามาคุยกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสังคมไทยเเต่โบราณอยู่สบาย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คนไทยค่อนข้างมีเวลาว่าง ถึงเเม้ว่าช่วงทำนาก็ตาม พอไถนาดำนาเสร็จก็ว่างๆ รอเกี่ยวข้าว นวดข้าว พอหลังก็นี้ก็ค่อนข้างมีเวลาว่างเมื่อชีวิตเป็นเเบบสบายๆ มีเวลาเหลือก็นั่งคุยกัน เยี่ยมเยือนไต่ถามกัน จึงมีเวลาสนใจเรื่องของคนอื่นค่อนข้างจะมาก เเล้วในขณะเดียวกันคนไทยก็ค่อนข้างมีน้ำใจ เห็นใครมีเรื่องเดือดร้อนหรือลำบากก็อยากจะช่วย เรื่องนี้ก็เป็นเอกลักษณ์สังคมไทยเหมือนกัน ถ้าไปดูสังคมอื่น เช่น สังคมญี่ปุ่น เราจะพบว่าเขาก็สนใจเรื่องของคนอื่นเหมือนกัน เเต่ดีกรีไม่ขนาดคนไทย เพราะประเทศญี่ปุ่นพื้นที่ราบมีน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา อากาศก็หนาว ทำนาได้เพียงปีละครั้ง จึงต้องหาข้าวปลามาเลี้ยงชีพ ไม่ค่อยมีเวลา จะไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ในขณะเดียวกันอยู่ในพื้นที่เดียวกันคนก็ค่อนข้างหนาเเน่น จะทำอะไรจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบคนอื่นเขา ถ้ากระทบขึ้นมาก็จะมีปัญหาในสังคม ตัวเองจะเดือดร้อน ถ้าถูกประชากรในหมู่บ้านขับไล่ออก ทั้งประเทศจะไม่มีที่อยู่เลย เพราะทุกที่เขามีคนอยู่เยอะเเล้วเขาจะไม่รับ จะต้องกลายเป็นคนร่อนเร่ หาที่อยู่ไม่ได้ ทุกคนจึงเเคร์สังคมมากเเล้วเกรงใจสังคมมากจึงต้องถูกปลูกฝังให้ระมัดระวัง ไม่ทำอะไรที่ไปกระทบกระเทือนคนอื่นเขา ไม่ทำให้เขาลำคาญหรือให้เขาหมั่นไส้ สิ่งนี้ยังถูกปลูกฝังอยู่จนถึงปัจจุบันในสังคมจีน เราพบว่าสังคมจีนมีคนเยอะตั้งเเต่สมัยโบราณ พอมีอะไรนิดหนึ่ง คนจีนจะรวมตัวกันทันทียิ่งกว่าไทยมุงอีก คนจีนพอมีเหตุอะไรเกิดขึ้นเขาจะทุ่มเจ้าหน้าที่จำนวนมากลงไป ส่วนสังคมฝรั่งเขาจะถูกปลูกฝังเรื่องการเคารพสิทธิ์ส่วนบุคคล เเต่ละคนก็จะพยายามไม่ไปกระทบกระเทือนสิทธิส่วนบุคลของบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นความสนใจเรื่องของคนอื่นมีเหมือนกันทุกชาติ เเต่ว่าดีกรีเเก่อ่อนต่างกันเมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเอง
คำถาม ในปัจจุบันคนจะเข้าถึงสื่อได้ง่าย เพราะมีสื่อ เช่น โซเซียลมีเดีย ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปยังไงเเละข่าวสารในโซเซียลมีเดียมีเนื้อหาเป็นอย่างไร?
การพัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือเเม้กระทั่งข้อมูลส่วนตัวของคนอื่นมีเยอะเเยะมากมาย สามารถใช้เวลา 24 ชั่วโมงวนดูเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาก็ยังได้ ไม่เฉพาะประเทศไทย จะข้ามไปประเทศที่มีดาราดัง ไปถึงเมืองที่มีนักกีฬาดัง ที่มีชื่อเสียงต่างๆ ก็ได้มันไม่รู้จบดังนั้นเราต้องรู้จักลิมิตตัวเอง ถ้ามัวเเต่ไปสนใจเเต่เรื่องชาวบ้าน ไม่รู้จักเเยกเเยะว่าข่าวอะไรที่เราควรรู้ เราจะถูกข้อมูลข่าวสารท่วมตัวเรา เเหล่งข่าวสารสมัยก่อนอย่างมากก็เเค่สภากาเเฟ เเต่เดี๋ยวนี้อยู่หน้าจอมันยิ่งกว่าสภากาเเฟ เพราะสภากาเเฟมีเเค่ 4-5 คน มานั่งเเลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน เเต่ละคนก็มีข้อมูลจำกัด อย่างมากก็มาคุยเรื่องละครทีวี เเต่เดี๋ยวนี้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เเท็บเเล็ต สมาร์ทโฟน มันสามารถเข้าสภากาเเฟที่มีสมาชิกเป็นล้านคน มันไม่รู้จบ ดังนั้นเราต้องหยุดคิดเเล้วว่า เรื่องอะไรที่มันมีสาระเเล้วเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเรา ส่วนเรื่องอะไรที่รู้เป็นสีสันเล็กๆน้อยๆเราก็รู้เเค่พอประมาณ อะไรที่ไม่ควรรู้ก็อย่าไปรู้มากเกินไปไม่งั้นข้อมูลข่าวสารท่วมตัวเเน่ๆเมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเอง
คำถาม ต้องอัพเดตข่าวสารเสมอๆ จะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นก็ไม่ได้ จะมีวิธีคิดเรื่องนี้อย่างไร?
ข่าวนั้นมี 2 เเบบ อย่างเเรกคือ ข่าวที่มีประโยชน์ ข่าวที่มีสาระ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาของเทคโนโลยี เเนวโน้มธุรกิจของโลก เศรษฐกิจในประเทศไทย ฯลฯ สามารถนำข้อมูลมาเตรียมตัวให้พร้อม เช่น อย่างตอนนี้เกิดภาวะฝนเเล้ง เราจะเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เราได้ปรับตัวเองทัน ถ้าเกิดขึ้นมาเเบบฉับพลันเราก็จะตั้งตัวไม่ทัน ฯลฯ นี้คือข่าวสารที่มีประโยชน์ อะไรที่เกี่ยวกับเรามากที่สุด งานที่เราทำ ธุรกิจที่เรารับผิดชอบอยู่ เราก็ต้องให้ความสำคัญเยอะหน่อย อย่างที่สองคือ ข่าวสีสัน เราก็เเค่พอรู้ๆก็พอ ไม่ต้องไปใส่ใจ หรือลงรายละเอียดมาก สมมุติ พอมีหนังสือพิมพ์มาก็เปิดอ่านเเค่พลาดหัวข่าวพอเเค่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเเค่นี้ก็พอ ต้องเเยกตรงนี้ให้ออก
เมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเองคำถาม ในต่างประเทศ การเคารพสิทธิส่วนบุคคลเป็นเรื่องสำคัญเเค่ไหน?
ในหลายๆประเทศถือว่าสำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น ที่ได้เล่ามาข้างต้นว่ามันมีพื้นฐานมาจากประวัติศาสตร์ด้วย เเต่เเม้ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเเบบเดิมอยู่คือ ถ้าเราขึ้นรถไฟเเล้วได้นั่งเรายังเเข็งเเรงอยู่ เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ถ้าเห็นผู้หญิงอุ้มเด็กมา อุ้มลูกมา หรือเห็นคนเเก่ ถ้าเป็นคนไทยต้องบอกให้เขาลุกให้นั่ง เเต่ในญี่ปุ่นไม่ใช่ปุ๊บปั๊บลุก เราจะต้องดูดีๆก่อน คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ลุก จะลุกให้ใครนั่งต้องดูดีๆ ให้ดูท่าทีเขาก่อนว่า ดูเเล้วเขาอยากนั่งรึป่าว เเล้วค่อยเชิญให้เขานั่ง เเละอย่าพูดมากเพราะเป็นการรบกวนเขา เราสละที่นั่งให้เป็นการรบกวนเขาเพราะทำให้เขาเกรงใจเรา เขาเลือกที่จะยืนมากกว่าที่จะไปนั่งที่คนสละให้ เพราะมันอึดอัดใจ เกรงใจ รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ เพราะฉะนั้นเเนวปฏิบัติก็คือดูดีๆ เมื่อลุกให้เขานั่งเเล้วต้องเลี่ยงออกไป เพื่อให้เขาสบายใจ นี่คือความต่างของวัฒนธรรมในสังคม หรือว่ามีคนต่างชาติบางคนไปถึงเเล้วเจอคำศัพท์ญี่ปุ่นเเล้วเเปลไม่ออก เเล้วถามเขา เขาจะไม่ตอบเเต่เขาจะหยิบดิกชันนารีให้ ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นเขาจะไม่ถาม เขาจะเลือกที่จะช่วยตัวเองก่อน อะไรที่ตัวเองทำได้ต้องทำก่อนเขาถูกปลูกฝังมาเเบบนี้เเต่ถ้าหากอยู่ในภาวะที่เราไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ ถ้าอยากนี้เขาจะช่วยเราเต็มที่เลย อย่าไปเเบบผ่านๆว่าเขาเเล้งน้ำใจ มันอยู่ที่เเนวคิด เมื่อเราเห็นใครทำอะไร อย่าไปตัดสินเขาในมุมมองผิวเผินของเราบางทีมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดต้องดูให้ลึกๆว่า เขาคิดอะไร วัฒนธรรมเขาเป็นอย่างไร ฝรั่งก็เป็นคล้ายๆกัน ถ้าเราได้ไปในหลายๆประเทศเเต่ละประเทศเขาจะมีอัธยาศัยไม่เหมือนกัน การเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ถ้าคนไทยจะรู้สึกว่าช่องว่างจะมีน้อย เเต่ของฝรั่งจะมีช่องว่างมากว่าไทยนิดหนึ่ง ขนาดพ่อเเม่อยู่ในบ้านจะเข้าห้องลูก ถ้าเป็นคนไทยคุณพ่อคุณเเม่จะเข้าได้หมดโดยไม่ขออนุญาติ เเต่ของฝรั่งไม่ใช่ พ่อเเม่อยู่ๆจะเข้าไม่ได้ต้องขออนุญาติลูกก่อน เคาะประตูก่อนเเล้วค่อยเข้าไป ปุ๊บปั๊บเข้าไปจะเป็นการไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเขา เขาถือ ชาวฝรั่งจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราเองเจอคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมเราจะถือเอาตามความเคยชินของเราไม่ได้ ต้องศึกษาให้เข้าใจวัฒนธรรมของเขา เราก็จะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างราบรื่นเมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเอง
คำถาม จะมีวิธีใด? ที่ทำให้เราหันมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
มีคำกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่เราเริ่มลืมตา เราจะเห็นเรื่องราวข้างนอกเยอะเเยะไปหมด เเต่เมื่อไหร่ที่เราหลับตา เราก็จะมองไม่เห็น เเต่เราต้องเปิดตาภายใน คือ มาดูใจของเราเอง เมื่อเปิดตาก็จะเรื่องราวที่มีสีสัน วิจิตรตระการตา เร้าใจ น่าสนใจ เเต่เมื่อไหร่ที่เราหลับตาเราจะเริ่มหันมาดูตัวของเราเอง ใจของเราเอง ทำสมาธิ(Meditation)ให้ใจตั้งมั่น มีคำกล่าวว่า "โลกภายนอกกว้างไกลใครใครรู้ โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม จะมองโลกภายนอกมองออกไป จะมองโลกภายในให้มองตน " มองตัวเองได้เเก่ หลับของเราเบาๆ รวมใจของเรานิ่งๆที่ศูนย์กลางกาย เเล้วก็พิจารณา เราจะรู้เท่าทันใจของเรา ยิ่งเราเอาใจนิ่งๆลงไปที่ศูนย์กลางกายมากเท่าใด เราก็จะสามารถโฟกัสที่ตัวเราเองได้มากขึ้นเท่านั้นโลกภายนอกนั้นมีเรื่องที่เป็นสีสันเยอะเเยะ ดูตื่นตาตื่นใจ น่าสนใจเยอะไปหมด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ว่า " สูเจ้าจงมาดูโลกนี้อันตระการ ประดุจราชรถอันวิจิตร ที่พระราชาประดับไว้เเล้ว อันคนเขลาหมกอยู่ เเต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ " คือ โลกเรานั้นมีเรื่องราวที่ดูมีสีสัน ทำให้เราชวนหลงไหลด้วยเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อะไรเยอะเเยะมากมาย โบราณเขาถือว่า ราชรถที่พระราชาประทับเป็นสิ่งที่วิจิตรตระการที่สุดเเล้ว ถ้าเปรียบเหมือนปัจจุบันก็คือ เรือสุพรรณหงส์ ทำอย่างวิจิตร ดูเเล้วสวยงามวิจิตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสเปรียบโลกเราเหมือนราชรถอันวิจิตรที่ประดับประดาเเล้ว" อันคนเขลาหมกอยู่ เเต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ " คือ คนเขลาทั่วไปก็ให้กระเเสดึงไป ก็เพลินไปตามกระเเส หมดไปวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ชาติหนึ่ง เสียเปล่าเลย เเต่ผู้รู้ เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะรู้เเล้วว่า มันเป็นอย่างนี้เเหละ ทำให้เราตื่นเต้น ดีใจ เสียใจ อะไรไปเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวก็หมดไปวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง เราจะไม่ไปหมกอยู่อย่างนั้น จะต้องรู้จักถอนใจของเราออกมาพิจารณาตัวเอง มาอยู่กับสิ่งที่เป็นสาระเเก่นเเท้ของชีวิต คือ ทาน ศีล ภาวนา เราอยู่ในโลกปัจจุบันที่มันมีเรื่องชวนให้ใจนั้นหลงไหลออกไปข้างนอกมากกว่าเเต่ก่อนเยอะ เราต้องรู้จักตั้งสติ รู้เท่าทันให้มากขึ้นเมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเอง
สรุปก็คือ หมั่นสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกๆวัน เเล้วเราจะตั้งหลักได้อย่างมั่นคงท่ามกลางกระเเสข้อมูลข่าวสารที่เชี่ยวกราด จะเป็นเหมือนเสาหินที่ปักมั่นคง ไม่คลอน ไม่หวั่นไหว ด้วยกระเเสของข้อมูลสาร
เมื่อเรื่องคนอื่น สำคัญกว่าเรื่องตนเอง
เมื่อยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่ดีอย่างไร? การเคารพถึงสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น คำว่าไทยมุงกับสังคมไทย ความสนใจเรื่องคนคนอื่น ต้องอัพเดตข่าวสารเสมอๆ จะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นก็ไม่ได้ จะมีวิธีคิดเรื่องนี้อย่างไร? ในต่างประเทศ การเคารพสิทธิส่วนบุคคลเป็นเรื่องสำคัญเเค่ไหน? จะมีวิธีใด? ที่ทำให้เราหันมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น https://dmc.tv/a20525
บทความธรรมะ Dhamma Articles > ข้อคิดรอบตัว[ 10 ก.ย. 2558 ] - [ ผู้อ่าน : 18270 ]
บทความอื่นๆ ในหมวด
ทำไมจีวรพระต้องเป็นสีเหลืองขอไม่นับถือพระสงฆ์
ข้อคิดธรรมะของพระสุธรรมญาณวิเทศ (สุธรรม สุธมฺโม) จากหนังสือ "หน้าสุดท้าย"
I can’t respect monks, can I?
กราบไหว้ทำไม งมงาย !
Why do people have to pay homage? Ignorant!
โซเดียม อันตรายใกล้ตัว
บวชให้สุก
พลังหญิง
ตักบาตรใส่บุญ(ตอนที่2)
ตักบาตรใส่บุญ (ตอนที่1)
ปัญหามรดก
ยิ่งใหญ่ในรายละเอียด